เมนู

อรรถกถานิโครธกัปปสูตรที่ 121


นิโครธกัปปสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น ดังนี้.
พระสูตรนี้ท่านเรียกว่า วังคีสสูตร ดังนี้ก็มี.
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ?
ตอบว่า การเกิดขึ้นแห่งพระสูตรนี้นั่นแล ท่านกล่าวไว้ในนิทานแห่ง
พระสูตรนั้นแล้ว.
บรรดาบททั้งหลายเหล่านั้น บทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น มีเนื้อความ
อันข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั่นแหละ เพราะข้าพเจ้าได้ทิ้งเนื้อความเช่นนั้น เหล่านั้น
และเหล่าอื่นเสีย จักพรรณนาเฉพาะนัยที่ยังมิได้กล่าวไว้แล้วเท่านั้น.
บทว่า อคฺคาฬเว เจติเย ได้แก่ ที่อัคคาฬวเจดีย์ในเมืองอาฬวี จริง
อยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังไม่ทรงอุบัติขึ้น ได้มีเจดีย์เป็นอเนก มีอัคคาฬว-
เจดีย์ และโคตมเจดีย์เป็นต้น ซึ่งเป็นภพที่อยู่ของพวกยักษ์และนาคเป็นต้น
(แต่) เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอุบัติขึ้นแล้ว พวกมนุษย์ทั้งหลายก็รื้อ
เจดีย์เหล่านั้น สร้างเป็นวัดเสีย และมนุษย์ทั้งหลาย ก็เรียกกันโดยชื่อนั้นนั่นแล
มีคำอธิบายว่า เพราะพระเถระอยู่ในวัด กล่าวคืออัคคาฬวเจดีย์.
แม้คำว่า อายสฺมา ในคำว่า อายสฺมโต วงคีสสฺส นี้ เป็นคำ
ที่กล่าวด้วยความรัก.
คำว่า วังคีสะ นั่นเป็นชื่อของพระเถระนั้น พระวังคีสเถระนั้น ชน
ทั้งหลายพึงทราบกันอย่างนี้ จำเดิมแต่เกิดมา.
1. บาลีว่า วังคีสสตร.

ได้ยินว่า วังคีสะนั้นเป็นบุตรของปริพพาชก เกิดในครรภ์ของนาง
ปริพพาชิกา ด้วยอานุภาพแห่งวิชาอย่างหนึ่งซึ่งตนรู้ ได้เคาะกระโหลกศีรษะ
คนตาย แล้วก็รู้คติกำเนิดของสัตว์ทั้งหลาย. ได้ยินว่า แม้พวกมนุษย์ก็ได้นำ
กระโหลกศีรษะของพวกญาติของตน ซึ่งตายแล้วมาจากป่าช้า แล้วถามคติ
กำเนิดของญาติเหล่านั้นกะวังคีสะ ท่านก็ทำนายว่า บุคคลผู้นั้นเกิดในนรก
ชื่อโน้น บุคคลผู้นั้นเกิดในมนุษยโลกที่โน้น พวกมนุษย์เหล่านั้น อันพระ-
วังคีสะนั้นทำนายแล้ว (ทำให้งงงวยแล้ว) จึงได้ให้ทรัพย์เป็นจำนวนมากแก่เขา
ด้วยอาการอย่างนี้ เขาจึงได้ปรากฏ (มีชื่อเสียง) ไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น
วังคีสะนั้นบำเพ็ญบารมีมาแล้ว 1 แสนกัป บริบูรณ์ด้วยอภินีหาร มีบุรุษ
ห้าพันคนแวดล้อม ท่องเที่ยวไปในคาม นิคม ชนบท และราชธานีทั้งหลาย
ได้บรรลุถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับ ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี พวกชาวเมืองสาวัตถีถวายทานในเวลาก่อนภัตแล้ว
ในเวลาหลังภัตต่างก็นุ่งห่มเรียบร้อย ถือดอกไม้และของหอมเป็นต้น ย่อมไป
สู่พระเชตวันเพื่อฟังธรรม วังคีสะนั้นเห็นชาวเมืองเหล่านั้นแล้วก็ถามว่า
มหาชนพากันไปไหน.
ครั้งนั้นชนเหล่านั้นก็บอกเขาว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก
กำลังทรงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก พวกเราจะไปใน
ที่นั้น แม้วังคีสะนั้นพร้อมกับคนเหล่านั้นรวมทั้งบริวารของตนไปแล้ว ปราศรัย
กับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งแล้ว ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ครั้งนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสเรียกวังคีสะนั้นว่า ดูก่อนวังคีสะ เธอรู้วิชาที่เคาะกระโหลก

ศีรษะของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว บอกคติกำเนิดได้หรือ ดังนี้ วังคีสพราหมณ์
ทูลว่า ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมทราบอย่างนี้ พระผู้มี
พระภาคเจ้ารับสั่งให้นำศีรษะของมนุษย์ผู้เกิดแล้วในนรกมาแล้ว ทรงแสดง
(แก่วังคีสพราหมณ์นั้น) เขาใช้เล็บเคาะแล้วทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในนรก พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงศีรษะทั้งหลาย
ของมนุษย์ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้วในคติทั้งปวงโดยอาการอย่างนี้ แม้เขาก็ทราบ
และได้กราบทูลเหมือนอย่างนั้น ทีนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงศีรษะของ
พรขีณาสพแก่เขา เขาเคาะแล้วบ่อย ๆ ก็ไม่ทราบ (ว่าไปเกิดที่ไหน) ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนวังคีสะ ในศีรษะนี้ไม่ใช่วิสัยของเธอ นี้เป็น
วิสัยของเรา นี้คือศีรษะของพระขีณาสพ แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
คติ มิคานํ ปวนํ อากาโส ปกฺขินํ คติ
วิภโว คติ ธมฺมานํ นิพฺพานํ อรหโต คติ.
ป่าใหญ่เป็นคติของเนื้อทั้งหลาย
อากาศเป็นคติของนกทั้งหลาย ความเจริญ
เป็นคติของธรรมทั้งหลาย นิพพานเป็นคติ
ของพระอรหันต์
ดังนี้.
วังคีสะสดับคาถาแล้วทูลว่า ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ขอพระองค์
จงให้วิชชานี้แก่ข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วิชชานี้มิได้สำเร็จแก่
ชนทั้งหลายผู้ไม่บวช. วังคีสะนั้นทูบว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์ให้ข้า
พระองค์บวชแล้ว จงการทำสิ่งที่พระองค์ต้องการ เเล้วให้วิชชานี้ แก่ข้าพระองค์

ในขณะนั้นพระนิโครธกัปปเถระอยู่ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าวึงทรงสั่งพระเถระนั้นว่า นิโครธกัปปะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้วังคีสะ
นี้บวช. พระเถระนั้นให้วังคีสะนั้นบวชแล้ว ได้บอกตจปัญจกกรรมฐาน
พระวังคีสะได้บรรลุปฏิสัมภิทาโดยลำดับ ได้เป็นพระอรหันต์ และเป็นผู้ที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกย่องไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย
วังคีสะนี้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้สาวกของเราผู้มีปฏิภาณ.
อุปัชฌาย์ของท่านพระวังคีสะ ซึ่งได้ร้องเรียกกันอย่างนี้ เป็นพระเถระ
ชื่อว่านิโครธกัปปะ ผู้มีโวหาร (การร้องเรียก) อันได้แล้วอย่างนี้ เพราะไตร่
ตรองสิ่งที่มีโทษและไม่มีโทษเป็นต้น.
คำว่า กัปปะ เป็นชื่อของพระเถระนั้น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
เรียกท่านว่า นิโครธกัปปะ เพราะท่านบรรลุพระอรหัตที่โคนต้นนิโครธ
ต่อจากนั้นแม้ภิกษุทั้งหลายก็เรียกท่านอย่างนั้น ท่านถึงความเป็นผู้มั่นคงใน
พระศาสนา จึงชื่อว่า เถระ.
หลายบทว่า อคฺคาฬเว เจติเย อจิรปรินิพฺพุโต โหติ ได้แก่
พระนิโครธกัปปเถระนั้นนิพพานแล้วไม่นานที่เจดีย์นั้น.
บทว่า รโหคตสฺส ปฏิสลฺลีนสฺส ได้แก่ ผู้มีกายหลีกเร้นออกจาก
หมู่ ผู้มีจิตหวนกลับจากอารมณ์นั้น ๆ เร้นอยู่.
หลายบทว่า เอวํ เจตโส ปริวิตกฺโก อุทปาทิ ได้แก่ เกิดปริวิตก
ด้วยอาการอย่างนี้.

ถามว่า เพราะเหตุไร จึงเกิดปริวิตกขึ้น.
ตอบว่า เพราะพระอุปัชฌาย์นั้นไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า และเพราะพระ
อุปัชฌาย์นั้นอันท่านเห็นแล้ว และมีการคุ้นเคย จริงอยู่ในเวลาที่พระนิโครธ-
กัปปะนั้นปรินิพพาน พระวังคีสะนี้ ไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า แต่การคุ้นเคยใน
กาลก่อน มีการรำคาญมือเป็นต้นของพระเถระนั้น เป็นผู้ที่พระวังคีสะนั้นเคย
เห็นมาแล้ว และการประพฤติเช่นนั้น ก็ย่อมมีได้ทั้งแก่ผู้ที่มิใช่ขีณาสพ ทั้ง
แก่พระขีณาสพทั้งหลาย โดยความประพฤติในกาลก่อน จริงอย่างนั้น พระ-
ปิณโฑลภารทวาชะ ไปสู่อุทยานของพระเจ้าอุเทนเท่านั้น เพื่อประโยชน์
แก่การอยู่ในกลางวัน (พักผ่อน) ในภายหลังภัต ด้วยความประพฤติในกาล
ก่อนนี้คือ ในกาลก่อนท่านเป็นพระราชา ได้ปฏิบัติอยู่ในที่นั้น พระควัมปติ
เถระ
ไปยังเทววินานว่างในดาวดึงส์ภพ ด้วยความประพฤติในกาลก่อนนี้ คือ
ท่านเป็นเทวบุตรปฏิบัติอยู่ในเทววิมานนั้น.
ภิกษุชื่อว่า ปิลินทวัจฉะ เรียกผู้อื่นว่า คนถ่อย ด้วยความประพฤติ
ในกาลก่อนนี้คือ ท่านเป็นพราหมณ์อยู่ 500 ชาติ ไม่มีกำเนิดอื่นปนเลย
ได้กล่าวกะผู้อื่นเหมือนอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ความปริวิตกแห่งใจจึงได้บังเกิด
ขึ้นแก่พระวังคีสะนั้น เพราะท่านมิได้อยู่เฉพาะหน้า เพราะท่านไม่เคยเห็น
และคุ้นเคยอย่างนี้ว่า อุปัชฌาย์ของเรานิพพานแล้วหรือว่ายังไม่นิพพาน
ข้อความต่อจากนั้นมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
ก็ในคำว่า เอกํสํ จีวรํ กตฺวา นี้ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ ก็เพื่อทำ
จีวรให้แน่น (รัดกุม) บ่อย ๆ.

ก็คำว่า เอกํสํ นี้ เป็นชื่อของผ้าที่ท่านห่มเฉวียงบ่าข้างซ้ายวางไว้
เพราะฉะนั้น พึงทราบเนื้อความแห่ง เอกํสํ นี้ อย่างนี้ว่า กระทำจีวรโดย
ประการที่จีวรนั้นจะห่มคลุมบ่าข้างซ้ายวางไว้ คำที่เหลือชัดแล้วทั้งสิ้น.
บทว่า อโนมปญฺญํ ได้แก่สิ่งที่ต่ำ ท่านเรียกว่า เล็กน้อย เลวทราม
ซึ่งพระศาสดาผู้มีปัญญาทรามหามิได้ อธิบายว่า ผู้มีปัญญามาก.
สองบทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม ได้แก่ โดยประจักษ์นั้นเอง หรืออธิบายว่า
ในอัตภาพนี้นั่นเอง.
บทว่า วิจิกิจฺฉานํ ได้แก่ ความปริวิตกเห็นปานนั้น.
บทว่า ญาโต ได้แก่ ปรากฏแล้ว.
บทว่า ยสสฺสี ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยสาภและบริวาร.
บทว่า อภินิพฺพุตตฺโต ได้แก่ มีจิตอันคนคุ้มครองแล้ว หรือมีจิต
อันไฟไม่ไหม้อยู่.
สองบทว่า ตยา กตํ ความว่า พระองค์กล่าวว่า นิโครธกัปปะ
ก็เพราะท่านนั่งแล้วที่โคนต้นนิโครธ ได้ทรงตั้งชื่อไว้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมพิจารณาด้วยพระองค์โดยประการใด ย่อมตรัสเรียกโดยประการนั้น แต่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเรียกพระนิโครธกัปปะนั้นอย่างนั้น ก็เพราะเหตุที่ท่าน
นั่งแล้ว ที่ต้นนิโครธนั้นเอง อีกอย่างหนึ่ง ก็เพราะว่า ท่านได้บรรลุพระอรหัต
ที่ต้นนิโครธนั้น.
ด้วยคำว่า พฺราหฺมณสฺส พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงชาติ
ได้ยินว่า พระนิโครธกัปปะนั้น ออกบวชจากสกุลพราหมณ์มหาศาล.

สองบทว่า นมสฺสํ อจรึ ความว่า นมัสการอยู่แล้ว.
บทว่า มุตฺยเปกฺโข ความว่า หวังวิมุตติกล่าวคือพระนิพพาน
อธิบายว่า ปรารถนาพระนิพพาน.
พระวังคีสะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ทฬฺหธมฺมทสฺสี จริงอยู่
พระนิพพานชื่อว่าเป็นธรรมที่มั่นคง เพราะอรรถว่าไม่แตก ก็พระผู้มีพระภาค
เจ้า ย่อมทรงแสดงพระนิพพานนั้น เพราะเหตุนั้น พระวังคีสะจึงเรียก
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่า ทฬฺหธมฺมทสฺสี ผู้แสดงธรรมอันมั่นคง.
แม้ด้วยบทว่า สกฺกา พระวังคีสะ ย่อมเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
แล ด้วยคุณนาม.
ด้วยสองบทว่า มยมฺปิ สพฺเพ พระวังคีสู่สงเคราะห์บริษัทที่เหลือ
แล้ว แสดงซึ่งตน ย่อมร้องเรียก.
แม้ด้วยบทว่า สมนฺตจกฺขุ ท่านก็เรียกพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล
ด้วยสัพพัญญุตญาณ.
บทว่า สมฺมวฏฺฐิตา ได้แก่ ตั้งไว้แล้วโดยชอบ คือทำให้เป็นหลัก
ตั้งไว้แล้ว.
บทว่า โน ได้แก่ ของเราทั้งหลาย.
บทว่า สวนาย ได้แก่ เพื่ออันฟังไวยากรณ์ปัญหานี้.
บทว่า โสตา ได้แก่ โสตินทรีย์.

คำว่า ตุวํ โน สตฺถา ตวมนุตฺตโรสิ นี้ เป็นเพียงคำชมเชย
เท่านั้น.
หลายบทว่า ฉินฺเทว โน วิจิกิจฺฉํ ได้แก่ พระวังคีสะนั้นผู้หมด
ความสงสัยแล้ว ด้วยความสงสัยในอกุศล แต่ก็พูดหมายถึงความปริวิตกนั้น
ซึ่งเปรียบดุจความสงสัยนั่นเอง.
สองบทว่า พฺรูหิ เมตํ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นศากยะ พระ-
องค์เป็นผู้ที่ข้าพระองค์ทูลขอแล้ว เพื่อให้บอกซึ่งสาวกใด ขอพระองค์จึงตรัส
บอกซึ่งสาวกนั้นแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์แม้ทุกคน ปรารถนาจะรู้สาวกนั้น
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน ก็พระองค์เมื่อตรัสบอกอยู่ ก็
จงบอกซึ่งพราหมณ์นั้นผู้ปรินิพพานแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีปัญญา
พระองค์ทรงทราบพระเถระนั้นผู้ปรินิพพานแล้ว ก็จงบอกในท่ามกลางของข้า-
พระองค์ทั้งหลาย คือจงตรัสบอกในท่ามกลางของข้าพระองค์ทุกคน โดยประการ
ที่ข้าพระองค์ทุกคนจะพึงทราบได้.
คำว่า สกฺโกว เทวานํ สหสฺสเนตฺโต นี้ เป็นคำชมเชยเท่านั้น
คำนี้มีอธิบายดังนี้ว่า ท้าวสักกะผู้มีดวงตาหนึ่งพัน ผู้มีพระวาจาอันเทพเจ้า
เหล่านั้นรับแล้วโดยเคารพ ย่อมตรัสในท่ามกลางแห่งเทวดาทั้งหลายฉันใด
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์มีพระวาจาอันข้าพระองค์ทั้งหลายรับแล้ว
ก็จงตรัสในท่ามกลางแห่งข้าพระองค์ทั้งหลายฉันนั้น.
พระวังคีสะ เนื้อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เพื่อจะยังความ
เป็นผู้กล่าวให้เกิดขึ้น จงได้กล่าวคาถาแม้นี้ว่า เยเกจิ เป็นต้น.

เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลายมีอภิชฌาเป็นต้น
พระวังคีสะเรียกว่าเป็นทางแห่งโมหะ ว่าเป็นฝักฝ่ายแห่งความไม่รู้ และว่า
เป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย เพราะไม่ได้ละโมหะและความสงสัย ในเพราะมิได้ละ
เครื่องร้อยรัดเหล่านั้น เครื่องร้อยรัดเหล่านั้นทั้งหมดมาถึงพระตถาคตเจ้าแล้ว
ย่อมถูกกำจัด ได้แก่จักพินาศไป ด้วยพลังแห่งเทศนาของพระตถาคต.
ถามว่า เครื่องร้อยรัดเหล่านั้นถูกกำจัดได้ด้วยเหตุไร ?
ตอบว่า กิเลสชาติเหล่านั้นมาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีจักษุพระองค์
นี้แล ซึ่งยิ่งกว่านระทั้งหลาย ย่อมถูกกำจัดแล้ว คำอันเป็นบาทพระคาถาว่า
จกฺขุมฺหิ เอตํ ปรมํ นรานํ ดังนี้ เป็นคำอันท่านกล่าวไว้ว่า เพราะพระ-
ตถาคตเจ้า ชื่อว่าเป็นผู้มีจักษุอย่างยิ่งกว่านระทั้งหลาย เพราะทำปัญญาจักษุ
ในการกำจัดกิเลส เครื่องร้อยรัดทั้งปวงให้เกิดขึ้น.
พระวังคีสเถระเมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เพื่อจะยัง
ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะกล่าวให้เกิดขึ้น จึงได้กล่าวคาถาแม้นี้ว่า โน เจ หิ
ชาตุ
เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาตุ เป็นคำโดยส่วนเดียว.
บทว่า ปุริโส ท่านพระวังคีสะหมายถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวแล้ว.
บทว่า โชติมนฺโต ได้แก่ ชนทั้งหลายผู้มาตามพร้อมแล้วด้วย
ความรุ่งเรื่อง คือปัญญา มีพระสารีบุตรเป็นต้น. ท่านกล่าวโดยคาถานี้ไว้ว่า
ผิว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า จะไม่พึงกำจัดกิเลสทั้งหลายด้วยพลังแห่งเทศนา
เหมือนกับลมอันต่างด้วยลมมาทางทิศตะวันออกเป็นต้น จะไม่พึงกำจัดเมฆแล้ว

ไซร้ สัตว์โลกแม้ที่ปกปิดด้วยความไม่รู้ ก็จะพึงเป็นผู้มืด ประดุจโลกที่ถูก
เมฆปกปิดไว้ ก็จะเป็นโลกมืด คือมีการมืดมนเป็นอันเดียวกัน แม้หรือว่า
ชนทั้งหลายเหล่านี้ใด ซึ่งมีความรุ่งเรื่องในบัดนี้ ปรากฏอยู่ มีพระสารีบุตร
เป็นต้น แม้ชนทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่พึงเดือดร้อน.
พระวังคีสเถระ เมื่อชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เมื่อจะยังความ
เป็นผู้ใคร่จะกล่าวให้เกิดขึ้นโดยนัยก่อนนั้นแล จึงได้กล่าวคาถาแม้นี้ว่า ธีรา
เป็นต้น เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ก็บุรุษทั้งหลายผู้เป็นนักปราชญ์
คือผู้เป็นบัณฑิต เป็นผู้กระทำความรุ่งเรือง ย่อมให้ความรุ่งเรืองแห่งปัญญา
เกิดขึ้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงกล้าหาญ ผู้ประกอบด้วยปธานวิริยะ
ฉะนั้น ข้าพระองค์ย่อมสำคัญ คือว่า ย่อมสำคัญพระองค์ว่าเป็นนักปราชญ์
และว่าเป็นผู้กระทำความรุ่งเรืองเหมือนอย่างนั้น ด้วยว่าข้าพระองค์ทั้งหลาย
เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เห็นแจ่มแจ้ง คือผู้เห็นซึ่งธรรมทั้งปวง
ตามความเป็นจริงอยู่ จึงได้เข้าไปหาพระองค์อย่างนี้. เพราะฉะนั้น ขอพระองค์
จงกระทำให้แจ่มแจ้ง คือว่าจงตรัสบอก ฯลฯ ได้แก่จงประกาศซึ่งพระกัปป-
เถระ ได้แก่พระนิโครธกัปปะ ในบริษัททั้งหลายแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย.
พระวังคีสะเมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เพื่อจะยังความ
เป็นผู้ใคร่จะกล่าวให้เกิดขึ้นโดยนัยก่อนนั้นแล จงกล่าวคาถาแม้นี้ว่า ขิปฺปํ
ดังนี้เป็นต้น. เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระดำรัส
อันไพเราะ ขอพระองค์จงเปล่งถ้อยคำอันไพเราะโดยพลัน คือว่าจงอย่าได้ชักช้า
อยู่ ซึ่งตรัสพระดำรัสอันไพเราะ คือว่าอันนำมาซึ่งความรื่นรมย์แห่งใจ เปรียบ

เหมือนสุวรรณหงส์ไปสู่ที่หากิน ได้พบสระที่เกิดเองและราวป่า จึงโก่งคอ
เมื่อจะไม่รีบร้อน จึงค่อย ๆ เปล่งเสียง ด้วยจะงอยปากสีแดง คือร้องด้วยเสียง
อันไพเราะฉันใด แม้พระองค์เองก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงค่อย ๆ เปล่งด้วย
พระสุรเสียงอันไพเราะ อันเป็นมหาปุริสลักษณะอย่างหนึ่งนี้ ที่พระองค์ทรง
กำหนดไว้ดีแล้ว ได้แก่ที่พระองค์กำหนดตกแต่งไว้ด้วยดี ข้าพระองค์แม้
ทั้งปวงเหล่านี้แล เป็นผู้ตรงคือเป็นผู้ไม่มีใจฟุ้งซ่าน จักสดับพระสุรเสียงที่
พระองค์ทรงเปล่งแล้ว.
พระวังคีสะ เมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เมื่อจะยังความ
เป็นผู้ใคร่ที่จะกล่าวให้เกิดขึ้นโดยนัยก่อนนั้นแล จึงกล่าวคาถาแม้นี้ว่า ปหีน-
ชาติมรณํ ดังนี้เป็นต้น พึงทราบวิเคราะห์ในคำว่า อเสสํ นั้นว่า บาปใด
ย่อมไม่เหลืออยู่ เหตุนั้นบาปนั้น ชื่อว่า อเสสะ ซึ่งพระองค์ผู้ทรงกำจัดบาป
อันไม่มีส่วนเหลือนั้น มีคำอธิบายว่า ดังพระอริยเจ้ามีพระโสดาบัน เป็นต้น
ผู้ซึ่งละชาติและมรณะได้ ไม่มีอะไรเหลือ ฉะนั้น
บทว่า นิคฺคยฺห ได้แก่ ขอร้องด้วยดีแล้ว กล่าวคือรบเร้าแล้ว.
บทว่า โธนํ ได้เเก่ ผู้มีบาปธรรมทั้งปวงอันกำจัดแล้ว.
บทว่า วาเทสฺสามิ ได้แก่ข้าพระองค์จะขอให้พระองค์ตรัสพระธรรม.
บาทพระคาถาว่า น กามกาโร หิ ปุถุชฺชนานํ ความว่า ด้วยว่าการ
กระทำความใคร่ ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนทั้งหลายเท่านั้น อธิบายว่า ปุถุชนปรารถนา
จะทราบหรือจะกล่าวสิ่งใด ก็ไม่อาจที่จะทราบหรือจะกล่าวสิ่งนั้น ได้ทั้งหมด.
บาทพระคาถาว่า สงฺเขยฺยกาโร จ ตถาคตานํ ความว่า ส่วนการ
กระทำการพิจารณา คือว่า การกระทำที่มีปัญญาเป็นสภาพถึงก่อน ย่อมมีแก่

พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย อธิบายว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมทรง
ปรารถนาจะทรงทราบ หรือตรัสสิ่งใด ก็สามารถทราบหรือตรัสสิ่งนั้นได้
(ทั้งหมด).
บัดนี้ พระวังคีสะเมื่อจะประกาศ ซึ่งการกระทำการพิจารณานั้น จึง
กล่าวคาถานี้ว่า สมฺปนฺนเวยฺยากรณํ ดังนี้เป็นต้น.
เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริงอย่างนั้น
ไวยากรณ์อันสมบูรณ์มีอันเป็นไปที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว อันพระองค์ผู้มี
พระปัญญารุ่งเรือง ทรงเรียนมาดีแล้วในที่นั้น ๆ นี้ไม่ผิด อันชนทั้งหลาย
เห็นแล้วในพระดำรัสทั้งหลาย ที่พระดำรัสอย่างนี้ว่า สันตติมหาอำมาตย์เหาะ
ขึ้นสู่อากาศ ชั่วระยะ 7 ลำตาลแล้วจักปรินิพพาน และว่า สุปปพุทธศากยะ
จักถูกแผ่นดินสูบในวันที่ 7 ดังนี้. ก็ต่อจากนั้นพระวังคีสะประนมอัญชลีให้ดี
ยิ่งขึ้น แล้วทูลว่า อัญชลีครั้งหลังนี้ อันข้าพระองค์ประณมดีแล้ว คือว่า
อัญชลีแม้อีกครั้งหนึ่งนี้ อันข้าพระองค์ประนมดีแล้ว ดียิ่งขึ้น.
บทว่า มา โมหยิ ความว่า พระองค์เมื่อทรงทราบอยู่ คือทรงรู้
อยู่ซึ่งคติกำเนิดของพระเถระชื่อว่ากัปปะ ก็อย่าทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายหลง
อยู่ด้วยการไม่ตรัสตอบเลย พระวังคีสะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคำว่า
อโนมปัญญา ผู้มีปัญญาไม่ทราบ.
ก็พระวังคีสะเมื่อจะทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงการไม่หลงนั้นแหละ
ปริยายแม้อื่น จึงกล่าวคาถานี้ว่า ปโรวรํ ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปโรวรํ ได้แก่ ที่งามและที่ไม่งาม
หรือที่อยู่ไกลและที่อยู่ใกล้ ด้วยสามารถแห่งโลกิยธรรม และโลกุตรธรรม.
บทว่า อริยธมฺมํ ได้แก่ จตุสัจธรรม.
บทว่า วิทิตฺวา ได้แก่ แทงตลอด.
บทว่า ชานํ ได้แก่ รู้อยู่ซึ่งไญยธรรมทั้งปวง.
บทว่า วาจาภิกงฺขามิ ได้แก่ ข้าพระองค์หวังอยู่ซึ่งพระวาจาของ
พระองค์ ประดุจบุรุษผู้มีตัวอันร้อนในฤดูร้อน ลำบากอยู่ สะดุ้งแล้วหวังอยู่
ซึ่งน้ำฉะนั้น.
บทว่า สุตมฺปวสฺส ได้แก่ ขอพระองค์จงหลั่ง คือว่าจงเปล่ง
ได้แก่ จงปล่อยซึ่งสัททายตนะกล่าวคือสุตะ คือทำสัททายตนะให้เป็นไป.
พระบาลีว่า สุตสฺสํ วสฺส ดังนี้ก็มี อธิบายว่าจงโปรยซึ่งฝนแห่ง
สัททายตนะ มีประการอันพระองค์ตรัสแล้ว.
บัดนี้พระวังคีสะหวังอยู่ซึ่งวาจาเช่นใด เมื่อจะประกาศซึ่งวาจาเช่นนั้น
จึงได้กล่าวคาถาว่า
พระภิกษุชื่อว่า นิโครธกัปปะ ได้
ประพฤติพรหนจรรย์ ตามปรารถนา พรหม-
จรรย์ไร ๆ ของท่านนั้นมิได้เปล่า ท่านนิพ-
พานด้วยสอุปาทิเสสนิพพานแล้ว หรือว่าท่าน
เป็นผู้นิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน
เหมือนอย่างพระอเสขะทั้งหลาย ข้าพระองค์
ทั้งหลาย จักฟังซึ่งข้อนั้น.

พระวังคีสะ เรียกพระเถระชื่อว่ากัปปะนั้นแล ด้วยสามารถแห่งการ
บูชานั้นแหละว่า กัปปายนะ.
บทว่า ยถา วิมุตฺโต ได้แก่ พระวังคีสะทูลถามว่า พระกัปปายน-
เถระ นิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เหมือนอย่างพระอเสกขะ
ทั้งหลาย หรือว่าท่านนิพพานแล้วด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เหมือนอย่าง
พระเสกขะทั้งหลาย. คำที่เหลือในคาถานี้ ซัดแล้วทั้งนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า อันพระวังคีสะทูลขอแล้ว ด้วยคาถา 12 คาถา
อย่างนี้ เมื่อทรงพยากรณ์เรื่องนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
ภิกษุชื่อว่า นิโครธกัปปะ ได้ตัด
ตัณหาในนามรูปนี้ ที่เป็นกระแสแห่งกัณห-
มาร อันนอนเนื่องแล้วสิ้นกาลนาน เธอข้าม
พ้นชาติและมรณะได้ ไม่มีส่วนเหลือ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐสุด ด้วยอินทรีย์
5 เป็นต้น ได้ตรัสแล้ว อย่างนี้.

เนื้อความแห่งบาทต้นในพระคาถานั้น มีดังนี้ก่อน ตัณหาอันต่างด้วย
กามตัณหาเป็นต้น ในนามรูปนี้แม้ใด นอนเนื่องอยู่แล้วสิ้นกาลนาน เพราะ
อรรถว่าอันบุคคลละไม่ได้แล้ว ท่านเรียกว่า กระแสแห่งมาร อันได้นามว่า
กัณหะ ดังนี้ก็มี. พระเถระชื่อว่ากัปปายนะ ตัดแล้วซึ่งตัณหาในนามรูปนี้
ที่นอนเนื่องอยู่สิ้นกาลนาน ซึ่งเป็นกระแสแห่งกัณหมารนั้น.

ก็คำว่า อิติ ภควา นี้ ในคาถานี้ เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์
ทั้งหลาย. ด้วยบาทพระคาถาว่า อตาริ ชาติมรณํ อเสสํ พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงแสดงว่า พระกัปปายนเถระนั้นได้ตัดแล้วซึ่งตัณหานั้น ได้ข้ามแล้ว
ซึ่งชาติและมรณะที่เหลือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
บาทพระคาถาว่า อิจฺจพฺรวี ภควา ปญฺจเสฏฺโฐ ความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าพระปัญจวัคคีย์ผู้เป็นศิษย์รุ่นแรก 5 องค์
ด้วยอินทรีย์ทั้ง 5 มีศรัทธาเป็นต้น หรือด้วยธรรมทั้งหลาย มีศีลเป็นต้น.
และเป็นผู้ประเสริฐด้วยพระจักษุที่ประเสริฐอย่างยิ่ง อันพระวังคีสะทูลถามแล้ว
ได้ตรัสแล้วอย่างนี้. คำนี้เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พระวังคีสะเมื่อจะชื่นชมภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคาถา เป็นต้นว่า เอส สุตฺวา ดังนี้.
ในคาถาเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยคาถาที่ 1 ดังต่อไปนี้.
บทว่า อิสิสตฺตมา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นฤๅษีด้วย
เป็นที่ 7 ด้วย เพราะอรรถว่าสูงสุด อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
กระทำพระฤาษี 6 พระองค์ มีพระนามว่า วิปัสสี สิขี เวสสภู กกุสันธะ
โกนาคมนะ และกัสสปะ ให้พระองค์เป็นที่ 7 ปรากฏแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงเป็นพระฤๅษีองค์ที่ 7 พระวังคีสะเมื่อจะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่าเป็น
ฤๅษีพระองค์ที่ 7 จึงได้กล่าวแล้ว.
สองบทว่า น มํ วญฺเจสิ ความว่า เพราะเหตุที่พระกัปปายนเถระ
ปรินิพพานแล้ว ฉะนั้น พระองค์จะไม่ลวง ข้าพระองค์ ผู้ปรารถนาอยู่เพื่อจะ

ทราบความที่พระกัปปายนเถระปรินิพพาน คือว่า ขอพระองค์อย่าได้ตรัส
ให้ผิด. คำที่เหลือในคาถานี้ปรากฏแล้ว.
ในคาถาที่ 2 พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
เพราะเหตุที่สาวกของพระพุทธเจ้า มุ่งหวังการหลุดพ้นอยู่แล้ว ฉะนั้น
พระวังคีสเถระกล่าวหมายเอาเนื้อความนั้นว่า สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้กล่าว
อย่างใด ก็ทำอย่างนั้น.
บาทพระคาถาว่า มจฺจุโน ชาลํ ตนฺตํ ได้แก่ ข่ายคือตัณหาของมาร
ที่แผ่กว้างออกไปเเล้วในวัฏฏะอันประกอบด้วยภูมิ 3 นั้น.
บทว่า มายาวิโน ได้แก่ ผู้มีมายามาก. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
ผู้มีมายาเหมือนอย่างนั้น ดังนี้ก็มี อธิบายของอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นว่า
มารใดเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้หลายครั้งนับไม่ถ้วน ด้วยมายาทั้งหลาย
เป็นอเนกของมารนั้น คือ ผู้มีมายาเหมือนมารนั้น.
ในคาถาที่ 3 มีวินิจฉัย ดังนี้ :-
บทว่า อาทิ ได้แก่ เหตุ. บทว่า อุปาทานสฺส ได้แก่ แห่งวัฏฏะ.
จริงอยู่ วัฏฏะ ท่านกล่าวว่า เป็นอุปาทานในที่นี้ เพราะอรรถว่าอันสัตว์พึง
ยึดมั่น.
พระวังคีสเถระ ย่อมกล่าวด้วยประสงค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าควรจะตรัสอย่างนี้ว่า พระกัปปเถระได้เห็นแล้วซึ่งเหตุแห่ง
อุปาทานนั้นนั่นแล คือว่า ซึ่งเหตุอันต่างด้วยอวิชชาและตัณหาเป็นต้น.
บทว่า อจฺจคา วต ได้แก่ ก้าวล่วงแล้วหนอ.

ในคำว่า มจฺจุเธยฺยํ วิเคราะห์ว่า ที่ชื่อว่าบ่วงแห่งมาร เพราะ
อรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ.
คำว่า มจฺจุเธยฺยํ นี้ เป็นชื่อแห่งวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิสาม พระ-
วังคีสะเกิดความรู้ขึ้นแล้ว จึงกล่าวว่า พระกัปปายนเถระได้ล่วงบ่วงมารนั้น
ที่ข้ามได้โดยยากหนอ คำที่เหลือในคาถานี้ชัดเจนแล้วทั้งนั้น ดังนี้แล.
จบการพรรณนานิโครธกัปปสูตร แห่งขุททกนิกาย
ชื่อ ปรมัตถโชติกา

สัมมาปริพพาชนิยสูตรที่ 13


ว่าด้วยผู้เว้นรอบโดยชอบในโลก


พระพุทธนิมิตตรัสถามด้วยพระคาถาว่า
[331] เราขอถามมุนีผู้มีปัญญามาก
ผู้ข้ามถึงฝั่ง ปรินิพพานแล้ว ดำรงตนมั่น
ภิกษุนั้นบรรเทากามทั้งหลายแล้ว พึงเว้น
รอบโดยชอบในโลกอย่างไร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ภิกษุใด ถอนการถือความเกิด
ความฝันและลักษณะว่าเป็นมงคลขึ้นได้แล้ว
ภิกษุนั้นละมงคลอันเป็นโทษได้แล้ว พึงเว้น
รอบโดยชอบในโลก.
ภิกษุพึงนำออกเสียซึ่งความกำหนัด
ในกามทั้งหลาย ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ทั้งที่
เป็นของทิพย์ ภิกษุนั้นตรัสรู้ธรรมแล้ว ก้าว-
ล่วงภพได้แล้ว พึงเว้นรอบโดยชอบในโลก.
ภิกษุกำจัดคำส่อเสียดแล้ว พึงละ
ความโกรธ ความตระหนี่ ภิกษุนั้นละความ
ยินดี และความยินร้ายได้แล้ว พึงเว้นรอบ
โดยชอบในโลก.